เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ม.ค. ๒๕๔๘

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๘

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ดูสิ ทำไมเราแสวงหากัน ทำไมอยู่เฉยๆ ก็สบายแล้ว อยู่เฉยๆ การพักผ่อนที่ดีที่สุด การพักผ่อนคือทำความสงบของใจ ถ้าจิตมันสงบ มันไม่ดิ้นรนนะ แต่ก่อนที่มันจะสงบ ก่อนที่มันจะไม่ดิ้นรน มันต้องดิ้นรนก่อนไง ดิ้นรนเพื่อจะไม่ดิ้นรนไง

ถ้าเราบอกให้มันสงบเฉยๆ ให้มันสงบเลย มันเหมือนน้ำ เวลาเปรียบ เปรียบเหมือนน้ำ ถ้าตะกอนในน้ำมันนอนก้น น้ำไม่ขุ่นไง ถ้าน้ำไม่ขุ่น มันก็มีความใสของใจใช่ไหม นี่เราเปรียบว่าสิ่งนั้น น้ำมันไม่มีชีวิตไง แต่จิตนี้ ความรู้สึกนี้มันมีชีวิต มันมีตัณหาความทะยานอยาก

สิ่งที่ตัณหาความทะยานอยาก บ้าห้าร้อยจำพวก คนที่ชอบอะไร มันเจอสิ่งนั้น ตะกอนก็ขุ่น ถ้าคนไม่รักไม่ชอบสิ่งนั้น เห็นเขาเล่นกัน ตะกอนมันก็ไม่ขึ้น ถ้าน้ำเขย่ามันต้องขึ้นหมด น้ำเขย่าปั๊บ มันเคลื่อนไหว ตะกอนมันต้องขึ้นมา น้ำต้องขุ่น

แต่หัวใจไม่เป็นอย่างนั้นสิ ถ้าสิ่งที่เราไม่ชอบ สิ่งที่เราไม่พอใจ เขามาเสนออย่างไร จิตมันก็ไม่หวั่นไหว มันก็ไม่ขุ่น ถ้าจิตมันขุ่น ถ้าสิ่งใดมันชอบ สิ่งใดมันพอใจ เห็นไหม ถึงบอก บ้าห้าร้อยจำพวก คนชอบสิ่งใด คนรักสิ่งใด ถ้าสิ่งที่ชอบพลัดพรากจากเรา สิ่งที่ชอบ เขาเอามาล่อเรา สิ่งนั้นทำให้หัวใจมันขุ่น มันไหวไป

ถึงบอกว่ามันไม่ใช่ขุ่นโดยสัจจะ โดยที่ว่าเป็นวิทยาศาสตร์หรอก วิทยาศาสตร์เป็นสภาวะแบบนั้น แต่ความผูกพัน ความยึดมั่นถือมั่นของใจมหาศาลเลย แล้วการประพฤติปฏิบัติมันต้องเข้าตามสัจจะความจริงของแต่ละบุคคล เวลาทำขึ้นมาถึงเป็นปัจจัตตังไง

เวลาทางวิทยาศาสตร์ มรรครวมตัว มรรครวมตัวใช้คุณค่าของสมาธิเท่าไร ใช้น้ำหนักของสมาธิเท่าไร ใช้น้ำหนักของปัญญาเท่าไร ให้มันเป็นวิทยาศาสตร์มาสิ ให้คำนวณออกมาเป็นสูตรสำเร็จสิ แล้วเราจะทำอย่างนั้น มันก็เหมือนน้ำไง น้ำมันก็กระเพื่อมได้ มันก็เป็นสภาวะแบบนั้น แรงไหวของมัน ไหวแรงหรือไหวเบา ความกระเพื่อมมันก็จะรุนแรงมากรุนแรงน้อย มันเป็นวิทยาศาสตร์ เห็นไหม

แต่หัวใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากไม่เป็นแบบนั้น สิ่งที่ไม่เป็นแบบนั้นมันถึงต้องเป็นอำนาจวาสนา แล้วก็จริตนิสัยของแต่ละบุคคลจะประพฤติปฏิบัติไป มันถึงต้องเป็นปัจจัตตัง มันถึงต้องเป็นความจริงกับใจดวงนั้นนะ สิ่งที่เป็นใจดวงนั้น ถึงการประพฤติปฏิบัติต้องเป็นปฏิบัติจริงไง ไม่ใช่ปฏิบัติแบบแก้บน

ในปัจจุบันนี้ปฏิบัติแก้บนนะ เราแก้บนกัน เราไปหาเจ้ากัน เราไปแก้บนกันว่าสิ่งนั้น เราทำสิ่งนั้น เราแก้บนเอา แก้บนเอานี่อ้อนวอนเอา

นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติเหมือนการปฏิบัติแก้บนไง สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าให้เป็นไป มันไม่เป็นความจริงหรอก เพราะมันเป็นการปฏิบัติแบบแก้บน ต้องการอ้อนวอนเป็นอย่างนั้นไง เพราะเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การแก้บน เราจะเอาอะไรไปแก้บนล่ะ เราต้องมีสิ่งที่แก้บน ต้องมีดอกไม้กี่สีๆ ต้องมีไปแก้บนใช่ไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติต้องมีการนั่งสมาธินะ ต้องมีศีลนะ ภาวนานะ ทำแบบแก้บนไง ทำสักแต่ว่าทำ ทำสักแต่ว่าไปเป็นครั้งเป็นคราวไป แล้วก็จะปรารถนาเอามรรคผลนะ

มรรคผล มรรคผลมันต้องเข้าถึงใจ สิ่งที่หัวใจมันเป็นความทุกข์ความร้อน จะทำอย่างไรให้มันสงบมา สิ่งที่สงบเข้ามามันเป็นสัมมาสมาธิ มันไม่ใช่วิปัสสนา ถ้ามันเป็นวิปัสสนา มันมีการเคลื่อนไหวกัน มันมีการทำลายกัน

สิ่งนี้ไม่ใช่วิปัสสนา สิ่งนี้มันเป็นสิ่งเหมือนกับที่ว่าน้ำสงบตัวลง ตะกอนมันนอนก้นเฉยๆ แล้ววิธีการเอาตะกอนออกเอาอย่างไร ตะกอนมันนอนก้น ตะกอนมันก็อยู่ในก้นแก้วนั้นน่ะ ตะกอนอยู่ในก้นโอ่งก้นไหนั้นน่ะ เวลามันเคลื่อนไหว มันมีแรงกระเทือน มันก็ต้องขุ่นขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เข้าไปกดถ่วงมัน เข้าไปกดให้มันสงบลง นี่แค่ปัญญาโลกียปัญญานะ สิ่งที่เป็นโลกียะ การเคลื่อนไหวของใจ เราถึงต้องหาสถานที่ เราถึงต้องการประพฤติปฏิบัติ มันถึงต้องการความเป็นจริงไง สิ่งที่ความเป็นจริง เห็นไหม

นักกีฬาแต่ละบุคคลกว่าจะเป็นนักกีฬามีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เขาต้องดูแวว เขาต้องมีแมวมองนะ คนไหนจะมีแววว่าจะเป็นนักกีฬาได้ คนไหนจะมีแววว่าจะทำสิ่งนี้ประสบความสำเร็จได้ แล้วก็ต้องไปเอามาฝึก ไม่ใช่ว่ามันมีแววแล้วมันจะเป็นไป

มีแววแล้วนะ ถ้ามันเชื่อเพื่อนมัน มันเชื่อสิ่งที่ว่าเรื่องโลกธรรมไป มันก็ติดอยู่ในโลกนั้น แววอันนั้นก็เป็นสันดาน เป็นจริตนิสัยอยู่ในใจดวงนั้น มันมีพรสวรรค์ แต่พรสวรรค์นั้นได้ออกมาใช้ไหม ถ้าพรสวรรค์นั้นได้ออกมาใช้ พรสวรรค์ มันมีพรสวรรค์ แต่ถ้าไม่ได้มีการฝึกปรือ พรสวรรค์นั้นก็มีสภาวะแค่นั้น เพราะพรสวรรค์ของแววของเด็ก แต่เวลาไปอยู่ในโลก ในโลกกว้างมันมีตัวแปรอีกมหาศาลเลย สิ่งที่เป็นตัวแปรตัวนั้นน่ะจะทำให้เราประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ

ในการเล่นกีฬา เราเล่นคนเดียว เราฝึกซ้อมอยู่ เราเก่งมาก แต่เวลาลงไปในสนาม มีคู่แข่งขัน มันจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำความสงบของใจ เราเก่งมาก เราทำอะไรก็ได้ เพราะเราคิดว่าสิ่งนี้เป็นการกดไว้ๆ ไง เรายังไม่เจอหน้ากิเลสเลย แต่ถ้าเราเจอหน้ากิเลสขึ้นมาเมื่อไหร่ สิ่งนี้เราจะเชื่อมัน มันจะหลอกล่อนะว่าสิ่งนี้เป็นวิปัสสนา สิ่งนี้เป็นธรรมๆ นะ แล้วเราก็เชื่อมัน เห็นไหม นี่ทำแก้บน ว่าจะแก้บนให้ได้ผลเป็นธรรมนะ กิเลสมันกลับเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลอกอีกชั้นหนึ่ง

หลอกอีกชั้นว่าวิปัสสนาไปแล้วมันปล่อยวางอย่างนั้น มันเป็นธรรมอย่างนั้น แล้วมันก็รอวันเสื่อมนะ มันรอวันเสื่อมเพราะอะไร เพราะมันสีลัพพตปรามาสไง มันเป็นการลูบคลำไง มันเป็นการที่ว่าตะกอนนอนก้นเฉยๆ ไง มันไม่มีการเอาออกไง

แต่ถ้าเป็นสมุจเฉทปหาน เห็นไหม ในเมื่อสักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดมันออกไป สิ่งที่ความเห็นผิด เราตักตะกอนนั้นโยนทิ้งไป สิ่งที่ตะกอนโยนทิ้งไป น้ำเราจะแกว่งขนาดไหน น้ำเราไม่มีตะกอน จะแกว่งขนาดไหน จะให้มันกระเพื่อมขนาดไหน มันก็ไม่ขุ่นมัวไปได้ สีลัพพตปรามาสมันไม่มีไง มันไม่มีการลูบคลำ มันไม่มีการลังเลสงสัย มันไม่มีความอาลัยอาวรณ์ในหัวใจ

สิ่งที่เป็นความลังเลสงสัย อาลัยอาวรณ์ในหัวใจ สิ่งที่เกาะกินในหัวใจ ตะกอนอันนี้มันจะขุ่นตลอดไป เราสงสัยนะ เอ๊ะ! เมื่อกี้ทำไมมันว่างล่ะ ทำไมตอนนี้มันเริ่มเฉาล่ะ ทำไมความเป็นทุกข์มันเกิดขึ้นมาล่ะ ทำไมสิ่งนี้มันผ่านมาในคลองของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทำไมไปติดพันมันล่ะ

สิ่งนี้นะ สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดของกาย ความเห็นผิดของสมุฏฐาน สมุฏฐานคือโรค คือเชื้อโรคในหัวใจ สิ่งที่มันสมุฏฐาน สิ่งที่มันเป็นเชื้อโรค สิ่งที่เชื้อโรคเข้าไปในร่างกายนั้น ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั้นทำให้จิตนี้หวั่นไหว นี่ตะกอนมันกระเพื่อมแล้ว สิ่งนี้มันเป็นการกดไว้ ตะกอนไม่ได้เอาออก เห็นไหม

สิ่งที่ว่าเราจะแก้บนนะ เราจะแก้บน ทำแก้บนเพื่อจะเอาธรรม นี่แก้บนจริงๆ เลย ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่อริยสัจ

สิ่งที่เป็นอริยสัจมันจะเป็นปัจจัตตัง มันจะเป็นความเห็น เห็นไหม เวลาทุกข์ควรกำหนด กำหนดอย่างไร จะเห็นตัวทุกข์นะ มันจะหวั่นไหว มันสะเทือนหัวใจมาก เห็นวิปัสสสนาญาณออกไป มันวิปัสสนา มันทำลายกันตรงที่กิเลสมันสถิตอยู่ กาย เวทนา จิต ธรรม สิ่งนี้กิเลสมันไปเกาะเกี่ยวอยู่ เพราะจิตมันไปเกาะเกี่ยวสิ่งนั้น ถึงต้องวิปัสสนา ถึงมีปัญญาการทำลายเข้ามา

สิ่งนี้มันเป็นความเห็นจากภายในหัวใจ สิ่งนี้เป็นความเห็นจากตาของใจ สิ่งนี้เป็นความเกิดขึ้นจากฐีติจิต คือสมุฏฐานที่ก้นแก้วนั้น สิ่งที่ก้นแก้วคือก้นของความคิด คือก้นบึ้งของหัวใจไง ถ้าสิ่งที่ก้นบึ้งของหัวใจ สิ่งนี้ตะกอน เราตักสิ่งที่เป็นตะกอนออก เราตักออกๆ สิ่งที่ตักออกมันจะเป็นการแบบว่าแก้บนนั้นได้อย่างไร

สิ่งที่แก้บน ไม่มีสิ่งใดเลย อ้อนวอนเอา ขอเอา อยากให้เป็นไป อยากให้ประสบความสำเร็จ อยากให้ชีวิตนี้มีคุณค่า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทุกสิ่งอย่างอยู่ในกรรม

เราเชื่อกรรมคือการกระทำ ทำคุณงามความดีมา เราจะประสบความสำเร็จ ประสบความสำเร็จตามแต่อำนาจวาสนาของบุญนั้น แต่บุญนั้นมันก็ขับเคลื่อน คนมีบุญจะมีความสุขตลอดไป เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะโลกนี้ ชาติปิ ทุกฺขา ความเกิดนี้เป็นความทุกข์อย่างยิ่ง ในเมื่อมีความเกิดนี้ มีสถานะที่รองรับความทุกข์อันนี้ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง

มีความสุขคือว่าสิ่งที่จุนเจือกัน อากาศหนาว เราก็มีสิ่งที่ปกคลุมให้อบอุ่น อากาศร้อน เราก็สิ่งที่ให้ร่มเย็น นี่เป็นความสุขของโลกเขา สิ่งนี้เป็นความสุขไง แต่สุขจริงมีไหมล่ะ เพราะอากาศเย็นอากาศหนาวมันก็แปรปรวน

สิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา เพราะจิตเห็นอนัตตา เห็นไตรลักษณะ เห็นตามความเป็นจริง แล้วมันจะปล่อยวางตามความเป็นจริง ถ้าปล่อยวางตามความเป็นจริงไปนั้น มันถึงจะต้องแสวงหาไง

สิ่งที่เราพยายามทำกันอยู่นี้ก็เพื่อแสวงหาชัยภูมิ สถานที่ที่จะฝึกฝนใจ เริ่มต้นตั้งแต่เราเป็นคฤหัสถ์ เราก็อยากออกประพฤติปฏิบัติเพื่อจะมีเวลาเป็นนักรบ ถ้าออกเป็นนักรบแล้วมันเอาสนามฝึกซ้อมที่ไหนล่ะ ถ้ามันไม่มีชัยภูมิที่จะฝึกซ้อม มันก็ต้องหาชัยภูมิจากข้างนอกใช่ไหม

เวลาบวชขึ้นมา อุปัชฌาย์บอกว่าให้รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้ออกไปที่วิเวก ที่สงัด เพราะไปที่วิเวก ที่สงัด มันจะเห็นความคิดของตัว อยู่ในหมู่คณะ อยู่ในชุมชน มันมีแต่ความอาศัยพึ่งพากัน มันนอนใจว่าสิ่งนี้เราอยู่ได้ ชีวิตเรายังอยู่อีกห้าร้อยชาติ จะไม่มีวันตายหรอก จะอยู่ค้ำฟ้า มันก็อยู่ไปวันๆ หนึ่ง มันไม่รู้หรอกว่ามันจะตายวันนี้พรุ่งนี้ มันไม่รู้นะ ถ้ามันอยู่ในชุมชน

แต่พอเข้าไปอยู่ในป่า ในป่าในเขา มันอยู่ในที่สงัดนะ มันจะค้นคว้าหาตัวเองไง มันมีความกังวลไปทั้งหมด มีความวิตกวิจารณ์ไปทั้งหมด ความคิดมันจะโผล่ออกไปทั้งหมด

ความที่ว่าอยู่กับหมู่คณะ อยู่ในชุมชน มันมีความนอนใจ พอไปอยู่ในที่สงัด มันจะเห็นเวลาของตัว เห็นไหม เหมือนกับว่าเราเข้ามาทบทวนตัวเองไง ถ้าเรามาทบทวนตัวเอง นี่รุกฺขมูลเสนาสนํ ถึงต้องหาที่ประพฤติปฏิบัตินะ

นี้จากภายนอก แล้วถ้าไปอยู่ในป่าในเขา ถ้าสิ่งที่ไปอยู่ในป่าในเขา มันเป็นความสำคัญ เป็นความวิเศษเลอเลิศ

สัตว์ป่ามันอยู่ในป่ากันมหาศาลเลย สัตว์ป่าทั้งป่ามันอยู่ในป่า มันได้อะไรขึ้นมา เพราะมันไม่มีวิญญาณ มันไม่มีปัญญาของมัน แต่เราเป็นมนุษย์ เรามีปัญญา เราเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเข้าไปเพื่อจะค้นคว้าหาเรา เราเข้าไปเอาชัยภูมิอย่างนั้น เราไม่ใช่ว่ายึดว่า สิ่งที่ว่าเป็นวัดป่าหรือว่าเป็นสถานป่าเขานี้เป็นความสำคัญ เราเข้าไปเพื่ออาศัยจะค้นคว้าหาใจของเรา

ถ้าเราค้นคว้าหาใจเข้ามา มันจะย้อนกลับมาป่ารกชัฏ ป่าคือกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันปกคลุมหัวใจอยู่ ป่ารกชัฏนี้เราไม่เคยเห็นใจของเราเลย เราถึงทำความสงบของใจไม่ได้ เพราะมันเป็นป่า

สิ่งที่เป็นป่า เราทำลายป่า ตัดป่า แต่ยังเหลือธรรม ตัดป่า ตัดกิเลส ตัดป่า ป่ายังอยู่ ตัดทุกอย่างแล้ว หัวใจยังสมบูรณ์อยู่ ถ้าเราทำลายกิเลสจากหัวใจของเรา ทำลายกิเลส ทำลายความป่ารกชัฏในหัวใจของเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรา เราถึงต้องย้อนกลับมาถากถางนะ

ถากถางด้วยคนที่ว่าอ่อนด้อย คนที่ว่าเป็นเด็ก เด็กอนุบาล เด็กฝึกหัดใหม่ ต้องใช้ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ พุทโธๆ พุทธานุสติ เป็นแค่ไม้เล็กๆ เป็นแค่ด้ามมีด เป็นสิ่งที่ว่าเริ่มต่อมีด เริ่มถากเริ่มถาง เริ่มถากเริ่มถางเพื่อจะหาพื้นที่ หาใจของตัว

จากป่าข้างนอก จากชัยภูมิที่เราจะออกไปเพื่อจะประพฤติปฏิบัติ แล้วก็ต้องย้อนกลับมาชัยภูมิในหัวใจของเรา ถ้าใครเห็นจิต ใครเห็นสถานที่อยู่ของกิเลส เราจะเอาเสือ เสือมันอยู่ในถ้ำ เราต้องบุกเข้าไปในถ้ำเสือ ไปจับเสือ แล้วจับเสือต้องต่อสู้กับเสือ เข้าไปในถ้ำเสือจะมีความกลัวขนาดไหน เสือมันกินเรานะ เราไม่มีเครื่องมือจะไปจับเสือเลย

นี่ก็เหมือนกัน เราจะเข้าพุทโธๆ เข้าไปหาใจ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันขับไสออกตลอดเวลา สิ่งที่ขับไสออกตลอดเวลาอันนี้มันเป็นธรรมชาติของกิเลส เป็นธรรมชาติของฝ่ายมาร มารจะมีสภาวะแบบนั้น

มารนี้เกิดจากไหน

มารนี้เกิดจากฐีติจิต คือพลังงานของอวิชชา

ธรรมเกิดจากไหน

ธรรมเกิดจากวิชชา เกิดจากฐีติจิต จิตที่สงบขึ้นมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นมา เกิดมาจากใจ

พลังงานนี้เกิดมาจากใจทั้งหมด แต่พลังงานอันหนึ่งเป็นพลังงานโดยมาร ฝ่ายมาร พลังงานอันหนึ่งเป็นพลังงานของเทพ พลังงานของธรรม พลังงานของธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราฝึกฝนขึ้นมา เราสะสมเราขึ้นมา นี่คือการกระทำ ไม่ใช่การแก้บน ไม่ใช่การอ้อนวอน ไม่ใช่การสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าทำแล้วจะหวังผลว่าเอามรรคผลนิพพาน เอามาจากไหน

แต่ถ้าธรรมอริยสัจเกิดขึ้นมาจากในหัวใจ การประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมเริ่มต้นต้องหาชัยภูมิอันเหมาะสม

เวลาบวชกับอุปัชฌาย์ยังบอกว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้ไปสู่ในที่สงัด เพราะความคิดมันจะเกิด อยู่ในที่ชุมชนแล้วจะไม่เห็นกิเลส กิเลสมันจะเอาสิ่งนี้แอบอ้าง แล้วสิ่งนี้ให้เราคลุกคลีอยู่ในหมู่คณะ

แต่ถ้าเราแยกตัวออกไป เราหาสถานที่ของเราขึ้นมา นี้เราเป็นคนที่มีเจตนาว่าเราจะค้นคว้าหาของเรา เราถึงต้องเข้ารุกฺขมูลเสนาสนํ แล้วเราก็ค้นคว้าหากิเลส หาป่ารกชัฏในหัวใจของเรา

เพราะเป็นรุกฺขมูลเสนาสนํ แต่ถ้าเราไม่ไปค้นคว้าของเรา เราก็เหมือนกับสัตว์ป่าตัวหนึ่ง แต่ถ้าเราค้นคว้าของเรา ธรรมมันจะเกิดจากในหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจของเราเกิดขึ้นมาสภาวะแบบนั้น นี่คือการค้นคว้าของเรา นี่คือศากยบุตร

ศากยบุตร ผู้ที่เดินตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่เด็กกำพร้า ไม่ใช่กำพร้าจากธรรมวินัย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าควบคุมเราตลอดเวลา ถ้าเราปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมนั้นจะควบคุมตลอดเวลา เราจะมีพ่อแม่ปกครองเราตลอดไป ถ้ามีธรรมวินัยปกครองใจ เรามีธรรมปกครองใจตลอดไป นี่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมโดยการแก้บน โดยการอ้อนวอนขอ

ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาย้อนกลับเข้ามาถึง เวลาปัญญามันเกิด วิปัสสนามันเกิด เห็นสภาวะเป็นภายในของมัน

เห็นไหม จากจิตที่ดิ้นรน การอยู่สงบนี้ก็เป็นความสุขอยู่แล้ว ทำไมต้องดิ้นรน ดิ้นรนออกไปเพื่อจะดึงกิเลส ดึงลูกหลาน ดึงปู่ย่าตายายของกิเลสออกมาประหัตประหารมัน ทำลายให้กิเลสออกไปจากใจ แล้วมันจะทำลายป่ารกชัฏในหัวใจขึ้นมาจนเป็นป่าของธรรมไง

พระเรวัตตะเป็นพระอรหันต์ รักการอยู่ป่ามาก อยู่แต่ในป่ามาตลอดไง เพราะอยู่ในป่ามันสงบสงัด มันไม่มีสิ่งที่ล่อลวงใจ ไม่อยู่ในสังคม สังคมมีแต่โลกธรรม ๘ มีแต่การหลอกลวง มีแต่การเอารัดเอาเปรียบ อยู่กับต้นไม้ ธรรมชาติ ธรรมชาตินี้มันจะเป็นธรรมชาติของมัน แม้แต่เกิดพายุ เกิดฝนตก เกิดทุพภิกขภัยต่างๆ มันก็เป็นธรรมชาติของมัน มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันเกิดโดยธรรมชาติของมัน มันไม่มีการหลอกลวง มันไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

สังคมเป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม ความสงบของใจ ถ้าความสงบของใจ ข้างนอกก็สงบ ข้างในก็สงบ สิ่งที่สงบคือความสงบ คือความสุขของใจดวงนั้น

ดิ้นรนขนาดไหน ดิ้นรนเพื่อจะสงบ ดิ้นรนเพื่อจะฆ่ากิเลส ดิ้นรนเพื่อจะไม่ดิ้นรน เอวัง